สัญญาซื้อขาย
• สภาพและหลักสำคัญของสัญญาซื้อขาย (ม.453) มีดังนี้
• 1. เป็นนิติกรรมประเภทหนึ่ง โดย
• (1) คู่สัญญาจะต้องมีความสามารถในการทำสัญญา
• (2) มีคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกัน
• (3) วัตถุประสงค์ในการทำสัญญาจะต้องไม่เป็นการพ้นวิสัย หรือ ขัดต่อกฎหมาย หรือ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยฯ (ม.150)
• คำพิพากษาฎีกาที่ 1876/2542 วินิจฉัยว่า เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมายเป็นโมฆะตาม ม. 150 แล้ว การที่โจทก์ชำระเงินค่าซื้อขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยย่อมเป็นการชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย ต้องด้วย ปพพ.บรรพ 1 ลักษณะ 4 ว่าด้วยลาภมิควรได้ ซึ่งตาม ม. 411 ระบุถึงกรณีที่บุคคลใดได้ชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี บุคคลนั้นจะเรียกร้องทรัพย์สินคืนไม่ได้ ดังนั้นโจทก์ไม่อาจเรียกเงินคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้.
• คำพิพากษาฎีกาที่ 2786/2515 โจทก์รู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นป่าสงวนแห่งชาติซึ่งไม่อาจโอนแก่กันได้ แต่โจทก์ก็ยังซื้อและชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย
• (4) การแสดงเจตนาในการทำสัญญาจะต้องไม่เกิดจาก กลฉ้อฉล การข่มขู่ หรือ การสำคัญผิด
• 2. เป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่ง
• คำพิพากษาฎีกาที่ 2331/2516 ผู้ขายที่ดินมีหน้าที่จดทะเบียนเพื่อให้การซื้อขายสมบูรณ์และมีผลทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโอนไปยังผู้ซื้อ และมีหน้าที่ต้องส่งมอบที่ดินให้ผู้ซื้อโดยกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันจะเป็นผลให้ที่ดินอยู่ในเงื้อมมือของผู้ซื้อ ด้วย.....
• 3. มีวัตถุของสัญญาเป็นทรัพย์สิน
• 4. ต้องมีการตกลงว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กัน 5. ต้องมีการตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินให้แก่กัน
• - สำหรับราคาที่จะต้องชำระให้แก่กัน – ก็จะต้องชำระเป็นเงินตราเท่านั้น
• คำพิพากษาฎีกาที่ 6420/2539 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 487 หมายความว่า คู่สัญญาซื้อขาย ไม่จำต้องกำหนดราคาซื้อขายทรัพย์แน่นอนตายตัวในขณะทำสัญญา แต่อาจตกลงราคากันอย่างใดก็ได้ หรือ จะปล่อยให้เป็นไปตามวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แม้ว่าจะให้เป็นไปตามราคาท้องตลาด ณ เวลาใดก็ได้
•
• ประเภทของสัญญาซื้อขาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
• 1. สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด(สัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์)(ม.455,ม.456) มีประเด็นพิจารณา ดังนี้
• ก) ความหมายของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
• หมายถึง สัญญาที่คู่สัญญาตกลงทำสัญญากันเสร็จเด็ดขาดในรายละเอียดแห่งสัญญาแล้วทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน หรือ ราคาที่ต้องชำระ โดยไม่ต้องไปทำอะไรอีก แม้จะยังมิได้ชำระราคากันจริง ๆ หรือ ยังมิได้ส่งมอบทรัพย์สินกัน หรือ แม้ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์เพราะยังไม่ทำตามแบบ ก็ตาม
• ข) ประเภทของทรัพย์ที่จะทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
• - อาจเป็นอสังหาริมทรัพย์(ม.139) หรือ สังหาริมทรัพย์ (ม.140) ก็ได้
• - ซึ่งในการทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้น
1) หากเป็นการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ใน ม.456 ว.1(อสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ )– จะต้องทำตามแบบ
2) หากเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดามีราคาตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป...* - จะต้องมีหลักฐานดังต่อไปนี้ คือ
(1) มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญ หรือ
(2) มีการวางประจำ(มัดจำ) หรือ
(3) มีการชำระหนี้บางส่วน
• 3. ผลของการทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด (ม. 458) แยกพิจารณาได้ ดังนี้
• 1) หากเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในสังหาริมทรัพย์ธรรมดา - กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นโอนไปยังผู้ซื้อในทันที่ที่ได้มีการตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน (ไม่ต้องทำตามแบบ)
• คำพิพากษาฎีกาที่ 779/2482 การซื้อขายรถยนต์นั้น เมื่อผู้ขายกับผู้ซื้อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 ไม่มีกฎหมายกำหนดว่าจะต้องทำพิธีอย่างมาตรา 456 ส่วนการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 หมวด 1 ก็เป็นบทบัญญัติเพื่อสะดวกแก่การควบคุมของเจ้าพนักงานเท่านั้น
• 2) หากเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์ หรือ สังหาริมทรัพย์พิเศษ – กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นจะโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อมีการทำตามแบบแล้ว
• คำพิพากษาฎีกาที่ 1700/2527 วินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่พิพาทจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การซื้อขายย่อมเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายโอนไปยังผู้ซื้อในทันทีเมื่อได้ทำสัญญากัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 การชำระราคาที่ดินเป็นเพียงข้อกำหนดของสัญญาเท่านั้น หาใช่สาระสำคัญที่จะทำให้สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด
• 2 ) คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะฟ้องร้องบังคับคดีให้ปฏิบัติตามสัญญาที่เป็นโมฆะไปแล้วไม่ได้ //
• คำพิพากษาฎีกาที่ 746/2516 ซื้อขายโคจากโจทก์โดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาและไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายดังกล่าวเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยชำระราคาโค
• 3 ) หากมีการให้ทรัพย์แก่กันไปแล้ว - ต้องคืนทรัพย์แก่กันฐานลาภมิควรได้
• (ม. 172 ว.2)
• คำพิพากษาฎีกาที่ 366/2508 สัญญาซื้อขายเรือตกเป็นโมฆะเพราะไม่ทำตามแบบ เงินซึ่งผู้ขายได้รับไว้ตามสัญญานั้นก็เป็นลาภมิควรได้ ซึ่งผู้ซื้อจะต้องฟ้องเรียกคืน....
•
• สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอาจเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ ดังนี้
• 1) สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ชนิดที่มีผลสมบูรณ์(โดยกรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแล้ว และคู่สัญญาไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกันอีกต่อไป)
• 2) สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ชนิดที่มีผลสมบูรณ์(โดยกรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแล้ว แต่คู่สัญญายังมีหนี้ที่จะต้องชำระต่อกันอีกต่อไป)
• คำพิพากษาฎีกาที่ 1700/2527 เมื่อโจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่พิพาทและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การซื้อขายย่อมเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายโอนไปยังผู้ซื้อทันที่เมื่อได้ทำสัญญากัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 การชำระราคาทรัพย์สินที่ซื้อขายเป็นเพียงข้อกำหนดของสัญญาเท่านั้นหาใช่สาระสำคัญที่จะทำให้สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์
• 3) สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ชนิดที่มีผลไม่สมบูรณ์ (ตกเป็นโมฆะ) – โดยกรรมสิทธิ์ไม่โอนไปยังผู้ซื้อ (แม้จะมีการชำระราคาและส่งมอบทรัพย์สินกันแล้วก็ตาม)
• คำพิพากษาฎีกาที่ 9624/2509 สัญญาซื้อขายมีใจความชัดแจ้งว่าคู่กรณีมีเจตนามุ่งซื้อขายที่ดินกันเด็ดขาด ไม่มีข้อความใดแสดงว่าคู่สัญญามีเจตนาจะไปจดทะเบียนกันในภายหลัง สัญญานี้ไม่ใช่สัญญาจะซื้อขาย แต่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่ตกเป็นโมฆะ
• คำพิพากษาฎีกาที่ 2894/2522 สัญญาซื้อขายบ้าน ผู้ขายตกลงขนย้ายของออกเพื่อส่งมอบบ้านแก่ผู้ซื้อ ไม่มีข้อตกลงจะจดทะเบียนโอน จึงเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อไม่จดทะเบียนจึงตกเป็นโมฆะ
•
• ผู้ซื้อและผู้ขาย
• - ผู้ซื้อ – เป็นใครก็ได้ที่มีความสามารถตามกฎหมาย
• - ผู้ขาย - เป็นใครก็ได้ที่มีความสามารถในการเข้าทำสัญญาและผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่กฎหมายให้อำนาจทำการขายทรัพย์สินได้
•
• ผู้ที่จะเป็นผู้ขาย ได้แก่บุคคล ดังต่อไปนี้
• 1) เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น (ม.1336)
• 2) ตัวแทนในการขายทรัพย์สิน (ม.797)
• 3) บุคคลอื่นที่กฎหมายให้อำนาจขายทรัพย์สินนั้นได้ ได้แก่
• ก) ผู้ใช้อำนาจปกครอง ผู้ปกครอง หรือ ผู้อนุบาล
• ข) ผู้จัดการมรดก
• ค) เจ้าพนักงานบังคับคดี (ป.วิ.พ.ม.278)
• ง) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
• จ) เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจัดการกับของที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
• อาญา (ม.1327)
• ฉ) ผู้ขายเดิม (ม.470)
• หลัก “ ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน” ...
• - หากผู้ซื้อได้ซื้อทรัพย์สินจากผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของ หรือ จากผู้ที่ไม่มีอำนาจขายทรัพย์สินนั้นตามกฎหมาย ผลที่ตามมาก็คือ แม้ผู้ซื้อนั้นจะสุจริต แต่ผู้ซื้อนั้นก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น
• คำพิพากษาฎีกาที่ 74/2470 วินิจฉัยว่า ซื้อของจากผู้อื่นซึ่งไม่ใช่เจ้าของ และเป็นผู้ไม่มีอำนาจขายตามกฎหมายนั้น แม้ผู้ซื้อจะได้รับชื้อไว้โดยสุจริต ก็หาได้กรรมสิทธิ์ที่จะยึดเอาของนั้นไว้ได้ไม่
• คำพิพากษาฎีกาที่ 1440/2479 วินิจฉัยว่า ซื้อที่ดินจากผู้ไม่มีอำนาจขาย แม้จะเป็นการซื้อโดยสุจริต ผู้ซื้อก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่ ผู้ซื้อจะมีอำนาจก็เพียงแต่ฟ้องเรียกเงินคืนจากผู้ไม่มีอำนาจขาย
• คำพิพากษาฎีกาที่ 776/2477 วินิจฉัยว่า เช่าเรือเขามาแล้วเอาไปขายให้ผู้ซื้อ แม้ผู้ซื้อจะซื้อไว้โดยสุจริต ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในเรือนั้นไม่ เจ้าของเดิมมีสิทธิติดตามเอาเรือคืนได้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน
• คำพิพากษาฎีกาที่ 199/2495 วินิจฉัยว่า ซื้อเรือมาดไว้จากผู้ที่ยักยอกเจ้าของมา แม้จะซื้อโดยสุจริตก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ เจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้
• คำพิพากษาฎีกาที่ 353/2503 วินิจฉัยว่า ถ้ามีการปลอมใบมอบอำนาจให้ทำการขายฝากที่ดิน ผู้รับซื้อก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ผู้รับซื้อจะอ้างว่าเป็นผู้รับโอนโดยสุจริตไม่ได้ เพราะผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ การโอนย่อมมีไม่ได้
•
• ข้อยกเว้น หลัก “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน”
• ได้แก่กรณี ดังต่อไปนี้
• 1) ข้อยกเว้นตาม ปพพ.ม.1299 วรรค 2
• เช่น ค.ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของ ข. มาเป็นเวลา 10 ปี โดยสงบ เปิดเผย และ เจตนาเป็นเจ้าของ จน ค.ได้กรรมสิทธิ์โดยผลของกฎหมาย (ตามมาตรา 1382) แต่ ค.ยังไม่ทันได้ไปจดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ ตามมาตรา 1299 วรรคสอง ข. ก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นขายให้แก่ ก. ซึ่ง ก. ได้ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้โดยสุจริต (คือไม่ทราบว่า ค.ได้ครอบครองที่ดินแปลงนั้นจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว) และ ก. ก็ได้เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนการได้มาด้วยการซื้อจาก ข. โดยสุจริตอีกด้วย ดังนี้ถือว่า ก.ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการจดทะเบียน... โดย ค. จะมาฟ้องขับไล่ ก.ไม่ได้
• คำพิพากษาฎีกาที่ 2422/2532 โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ก่อนที่ ก.จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ได้ที่ดินพิพาทโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และยังมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคลภายนอกผู้ได้สิทธินั้นมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง
• 2) ข้อยกเว้นตาม ปพพ.ม.1303
• เช่น ก.ทำสัญญาซื้อทีวีจาก ข.เครื่องหนึ่ง โดย ก.ได้ชำระราคาทีวีเครื่องนั้นให้แก่ ข.แล้ว แต่ยังไม่ได้รับมอบทีวีจาก ข. ดังนี้ ก.ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทีวีเครื่องนั้นไปแล้ว ต่อมาขณะที่ทีวียังอยู่ในความครอบครองของ ข. ปรากฏว่า ข.ได้เอาทีวีเครื่องนั้นขายต่อไปให้ ค. โดยที่ ค.ได้ซื้อไว้โดยสุจริต และ ค.ได้รับมอบการครอบครองทีวีจาก ข. มาแล้ว
• จากตัวอย่างนี้ หากทั้ง ก. และ ค.ต่างโต้แย้งกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทีวีเครื่องนั้น โดย ก.ได้อ้างว่าตนได้ทำการซื้อทีวีเครื่องนั้นจาก ข.มาก่อน และได้กรรมสิทธิ์ในทีวีเครื่องนั้นไปแล้ว ส่วน ค.ก็อ้างว่าตนได้ซื้อทีวีเครื่องนั้นเช่นกัน และตนได้ครอบครองทีวีไว้แล้ว
• หากมีกรณีโต้เถียงกันเช่นนี้ ผลตามกฎหมายคือ แม้ ค. จะซื้อทีวีจาก ข.ผู้ไม่มีสิทธิในทีวีเครื่องนั้นแล้ว (เพราะ กรรมสิทธิ์ในทีวีเป็นของ ก.ไปแล้ว) แต่เนื่องจาก ค.ได้ซื้อโดยสุจริต ได้รับมอบและเข้าครอบครองทีวีนั้นแล้ว ดังนี้ ค.ย่อมมีสิทธิดีกว่า ก. โดย ค.จะได้กรรมสิทธิ์ในทีวีเครื่องนั้นไป
• 3) ข้อยกเว้นตาม ปพพ.ม.1329
• เช่น ข.ผู้เยาว์ ขายวิทยุเครื่องหนึ่งให้แก่ ก.ผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว ในราคา 5,000 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดาของ ข.ผู้เยาว์ ดังนี้ นิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ข.ผู้เยาว์ กับ ก. ตกเป็นโมฆียะ ต่อมา ก.ขายวิทยุเครื่องนั้นให้แก่ ค. ซึ่ง ค. ได้ซื้อวิทยุเครื่องนั้นไปโดยสุจริต และ ค.ได้ชำระราคาวิทยุเครื่องนั้นไปแล้ว
• ต่อมา บิดาของ ข.ผู้เยาว์ทราบเรื่องจึงได้มาบอกล้างนิติกรรมกรรมการซื้อขายในครั้งแรกระหว่าง ข.ผู้เยาว์กับ ก. ซึ่งผลของการบอกล้างคือนิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ข.ผู้เยาว์ กับ ก. ตกเป็นโมฆะ คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เท่ากับว่า ก. ผู้ซื้อก็ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในวิทยุนั้นแต่อย่างใด ดังนั้น ก. จะไม่สามารถทำนิติกรรมการขายวิทยุเครื่องนั้นให้แก่ ค.เป็นครั้งที่ 2 ได้ อีก
• แต่จากตัวอย่างนี้ เนื่องจาก ค. เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตและเสียค่าตอบแทน ดังนั้น กฎหมาย (ม.1329) ได้ให้ความคุ้มครอง ค. โดยให้ถือว่านิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ก. กับ ค. สมบูรณ์ โดย ค.ยังมีกรรมสิทธิ์ในวิทยุเครื่องนั้นอยู่ แม้ ค.จะซื้อวิทยุจาก ก.ผู้ไม่มีอำนาจขายวิทยุเครื่องนั้นแล้วก็ตาม (เพราะนิติกรรมการซื้อขายในครั้งแรกตกเป็นโมฆียะและถูกบอกล้างแล้ว ซึ่งมีผลทำให้ ก.ไม่มีกรรมสิทธิ์ในวิทยุนั้นนั่นเอง)
• 4) ข้อยกเว้นตาม ปพพ.ม.1330
• เช่น ค.เอารถยนต์ของตนมาฝากไว้กับ ข. ต่อมา ข.ถูกศาลพิพากษาให้เป็นผู้ล้มละลาย และถูกยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล แต่ปรากฏว่าทรัพย์ที่ถูกยึดไปมีรถยนต์ของ ค.ที่ฝาก ข.ไว้รวมอยู่ด้วย และในการขายทอดตลาดทรัพย์นั้น ก.เป็นผู้ประมูลซื้อรถยนต์คันดังกล่าวได้
• ดังนี้ผลตามกฎหมายคือ ก.ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้น แม้ต่อมา ค.จะพิสูจน์ได้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของตนไม่ใช่ของ ข.ผู้ล้มละลายก็ตาม ทั้งนี้เป็นไปตาม ม.1330
• 5) ข้อยกเว้นตาม ปพพ.ม.1332
• เช่น ก.ได้ซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งมาจากร้านขายนาฬิกาแถวบ้านหม้อ หรือ ก.ได้ประมูลซื้อนาฬิกาเรือนนั้นมาจากการขายทอดตลาดโดยสุจริต เป็นเงิน 10,000 บาท
• ดังนี้ ก.ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในนาฬิกาเรือนนั้น แม้จะปรากฏในภายหลังว่านาฬิกาเรือนนั้นถูกขโมยมาก็ตาม โดย ก.ไม่จำต้องคืนนาฬิกาเรือนนั้นให้แก่เจ้าของที่แท้จริงแต่อย่างใด ยกเว้นเจ้าของที่แท้จริงยอมชดใช้ราคาที่ ก.ซื้อมาเป็นเงิน 10,000 บาท ดังนี้ ก.ต้องคืน นาฬิกาเรือนนั้นให้แก่เจ้าของที่แท้จริงไป
• 6) ข้อยกเว้นตาม ปพพ.ม.155 วรรคแรก
• เช่น ข.ลูกหนี้สมรู้กับ ก.ทำนิติกรรมขายรถยนต์ ให้กับ ก.หลอก ๆ เพื่อลวง ค.เจ้าหนี้ของ ข. ทั้งนี้เพื่อมิให้ ค. เจ้าหนี้ของ ข. มายึดรถยนต์ไปขายทอดตลาด ดังนี้ สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะเพราะเป็นการแสดงเจตนาลวง โดย ถือว่า รถยนต์ยังเป็นของ ข.ไม่ถือว่ารถยนต์เป็นของ ก.แต่อย่างใด
• แต่จากตัวอย่างนี้ หาก ก.ได้นำรถยนต์ไปขายต่อ ให้กับ ง.ผู้ซื้อโดย ง. สุจริต ดังนี้ ง. ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้น ถึงแม้ว่า ง.จะได้ซื้อรถยนต์จาก ก. ผู้ขายที่ไม่มีสิทธิที่จะโอนก็ตาม
• 7) ข้อยกเว้นตาม ปพพ.ม.821
• เช่น ข. นำแหวนเพชรของ ค. ออกขายให้ ก.โดยอ้างว่าตนเป็นตัวแทนของ ค. ซึ่ง ค. ก็ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วไม่ทักท้วงแต่อย่างใด ซึ่งจากตัวอย่างนี้ถ้า ก.ได้ซื้อแหวนเพชรวงนั้นไว้โดยสุจริต และ ได้ชำระราคาแหวนเพชรให้กับ ข.ไปแล้ว
• ดังนี้ ก.ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในแหวนเพชรวงนั้น แม้ว่า ก.จะได้รับโอนแหวนเพชรวงนั้นมาจาก ข. ซึ่งไม่ใช่ผู้มีสิทธิในแหวนเพชรวงนั้น และ ข. ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของ ค. เจ้าของที่แท้จริงก็ตาม