สัญญายืม
บทที่ 1
ข้อความทั่วไป
สัญญายืมเป็นสัญญาที่ถูกใช้มากมายตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการยืมสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น ยืมรถยนต์ นาฬิกา แว่นตา ยางลบ ปากกา ดินสอ หรืออาจเป็นการยืมสัตว์พาหนะ เช่น ยืมช้าง ม้า วัว ควาย หรือการยืมทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น ยืมแก้วแหวน เงิน ทอง เป็นต้น ซึ่งประโยชน์ของการยืมทรัพย์สินสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เพื่อให้ผู้ที่มีความจำเป็นที่จะใช้ทรัพย์สิน ได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นตามความประสงค์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเอื้อเฟื้อมีน้ำใจไมตรีที่ดีต่อกัน ซึ่งในการให้ยืมทรัพย์สินกันนั้นส่วนใหญ่ก็จะไม่มีการเรียกค่าตอบแทนในการให้ยืมทรัพย์สินกันแต่อย่างใด โดยเฉพาะการให้ยืมทรัพย์ที่เป็นการยืมตามสัญญายืมใช้คงรูป แต่ในบางกรณีการให้ยืมทรัพย์สินก็อาจเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะของค่าตอบแทนได้เช่นกัน เช่นการให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยจากผู้ยืมของผู้ให้ยืมที่เป็นทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลที่เป็นสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งสิทธิในการเรียกดอกเบี้ยของผู้ให้กู้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา กับสถาบันการเงินก็จะเรียกได้ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป
ในเรื่องการยืมทรัพย์สินกันโดยเฉพาะปัจจุบันการกู้ยืมเงิน มีปัญหาข้อพิพาทไปสู่ศาลกันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเกิดจากการที่คู่สัญญาขาดความเข้าใจหลักเกณฑ์ของกฎหมายในเรื่องนี้ดีพอ หรืออาจจะเกิดจากการไว้เนื้อเชื่อใจกันเพราะเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยสนิทสนมกันดี หรืออาจจะไม่คาดคิดว่าจะเกิดปัญหาหรือเกิดความเสียหายขึ้นจากการทำสัญญายืมได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสำคัญหรือให้ความสนใจเกี่ยวกับหลักกฎหมายในเรื่องนี้เท่าไรนัก ซึ่งผลจากการที่คู่สัญญาขาดความเข้าใจหรือไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับหลักกฎหมายในเรื่องนี้เท่าที่ควรก็คือเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ในบางครั้งก็อาจจะเป็นการยากที่จะแก้ไขเยียวยาให้กลับคืนดีได้เช่นเดิม
ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องมีการยืมหรือให้ยืมทรัพย์สินกันแล้ว สิ่งสำคัญที่คู่สัญญาควรที่จะต้องกระทำก็คือควรจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักกฎหมายในเรื่องนี้ให้ดีพอเสียก่อน ว่าหากตนเองได้เข้าไปผูกพันตามสัญญายืมแล้ว ตนเองในฐานะคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะเกิดสิทธิหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมายและตามสัญญาอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้องตามกฎหมายและตามสัญญาและที่สำคัญจะได้ไม่เกิดความเสียหายขึ้นได้อีกต่อไป
ในการศึกษาถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามสัญญายืมนั้น นอกจากจะต้องศึกษาตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในบรรพที่ 3 ลักษณะที่ 9 แล้วยังจะต้องศึกษาถึงบทบัญญัติของกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอีกด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการกู้ยืมเงิน ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 พระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 และประมวลรัษฎากร เป็นต้น
สำหรับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นได้มีการกำหนดถึงสาระสำคัญ เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิด และความระงับของสัญญายืมไว้ในบรรพที่ 3 ลักษณะที่ 9 ว่าด้วยเรื่องการยืม ตั้งแต่มาตรา 640 - 656 รวมทั้งสิ้น 17 มาตรา ซึ่งสัญญายืมนั้นจัดเป็นเอกเทศสัญญา
ในการบังคับใช้กฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เกี่ยวกับสัญญายืมนั้นนอกจากจะบังคับตามบทบัญญัติของ บรรพที่ 3 ลักษณะที่ 9 ว่าด้วยเรื่องการยืมแล้ว ยังจะต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะต่าง ๆ ในบรรพที่ 1 และ 2 ที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้กับสัญญายืมอีกด้วย ได้แก่ หลักในเรื่องนิติกรรม ทั้งนี้เพราะสัญญายืมเป็นนิติกรรม 2 ฝ่าย หลักในเรื่องหนี้เพราะสัญญายืมย่อมก่อให้เกิดหนี้ขึ้นตามกฎหมาย และนอกจากนั้นยังจะต้องนำหลักกฎหมายที่เป็นบททั่วไปในบรรพที่ 1 และ 2 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ เจตนาของคู่สัญญา ความสามารถในการทำนิติกรรม และวัตถุประสงค์ในการทำนิติกรรม สัญญายืมนั้นจึงจะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย
สัญญายืมทรัพย์สินนั้นก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 หมวด คือ สัญญายืมใช้คงรูป และสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
บทที่ 2
สัญญายืมใช้คงรูป
1 หลักสำคัญของสัญญายืมใช้คงรูป เป็นไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 640 และ มาตรา 641 ที่ว่า
มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูป คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้อีกบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”
มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม“
จากบทบัญญัติดังกล่าว พอสรุปได้ว่าหลักสำคัญของสัญญายืมใช้คงรูปมี 4 ประการ คือ
1.1 ต้องมีวัตถุของสัญญาเป็นทรัพย์สิน กล่าวคือวัตถุตามสัญญายืมใช้คงรูปนั้นอาจจะเป็นทรัพย์สินที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ได้ โดยทรัพย์นั้นจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะยืมทรัพย์ที่เป็นสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ การยืมของใช้ เช่น รถยนต์ นาฬิกา แว่นตา แหวนเพชร สร้อยคอ การยืมสัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แต่สำหรับทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นการจะยืมหรือใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวของผู้อื่นก็น่าจะต้องเป็นเรื่องการใช้ประโยชน์ในที่ดิน บ้านเรือน สิทธิอาศัย หรือสิทธิเก็บกิน ฯลฯ ส่วนการยืมทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง ได้แก่ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร หรือสิทธิในเครื่องหมายการค้า เช่น การยืมลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมเพื่อไปพิมพ์ในหนังสืองานวันเกิด หรือในหนังสืองานศพ ฯลฯ
1.2 ต้องเป็นสัญญาที่ไม่มีค่าตอบแทน เพราะถ้าหากมีค่าตอบแทนก็อาจจะกลายเป็นสัญญาอย่างอื่นได้ เช่น เป็นสัญญาเช่าทรัพย์ตามมาตรา 537 ไปไม่ใช่สัญญายืมแต่อย่างใด[1] แต่เนื่องจากสัญญายืมเป็นสัญญาที่ผู้ยืมมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินของผู้ให้ยืมโดยไม่เสียค่าตอบแทน (ตามมาตรา 640) ดังนั้นจึงมีผลทำให้
1.2.1 ผู้ให้ยืมต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยืมเป็นพิเศษว่าควรให้ยืมทรัพย์นั้นได้หรือไม่ โดยจะต้องพิจารณาว่าผู้ที่จะมายืมทรัพย์ของตนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังรักษาทรัพย์ที่ยืมได้เป็นอย่างดีหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาจากบุคลิกลักษณะ อุปนิสัยใจคอ อาชีพการงานของผู้ยืม หรือเหตุชอบพออย่างอื่นเป็นการเฉพาะตัวก็ได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่ให้ยืม และนอกจากนั้นหากผู้ยืมตายสัญญายืมก็ระงับด้วยทั้งนี้เพราะสัญญายืมนั้นมุ่งคำนึงถึงคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้ยืมเท่านั้น โดยที่ทายาทของผู้ยืมก็ต้องคืนทรัพย์ที่ยืมนั้นให้แก่ผู้ให้ยืมทันทีเพราะตนเองไม่มีสิทธิใช้สอยทรัพย์ที่ยืมนั้นอีกต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 648 ที่ว่า
“อันว่ายืมใช้คงรูป ย่อมระงับสิ้นไปด้วยมรณะแห่งผู้ยืม”
ตัวอย่าง แดงให้เขียวยืมรถยนต์ 1 คันเพื่อใช้เดินทางไปทำงาน เป็นเวลา 2 ปี แต่พอยืมไปได้ 1 ปี เขียวก็ถึงแก่ความตายลง ดังนี้เมื่อเขียวถึงแก่ความตายสัญญายืมใช้คงรูปก็ระงับไป บุตรหรือภริยาของเขียวไม่มีสิทธิที่จะใช้รถคันนั้นอีกต่อไป โดยจะต้องคืนรถยนต์คันนั้นให้แก่แดงไป ซึ่งบุตรหรือภริยาของเขียวจะไม่ยอมคืนโดยอ้างว่ายังไม่ครบกำหนดตามสัญญาไม่ได้
1.2.2 ผู้ให้ยืมสามารถส่งมอบทรัพย์สินในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ กล่าวคือแม้ทรัพย์นั้นจะมีความชำรุดบกพร่องผู้ให้ยืมก็ไม่จำต้องซ่อมแซมทรัพย์นั้นให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดีก่อนส่งมอบแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ยืมที่จะต้องพินิจพิจารณาว่าตนเองสมควรยืมทรัพย์นั้นมาใช้หรือไม่ ซึ่งแตกต่างจากสัญญาเช่าทรัพย์เพราะการเช่าทรัพย์นั้นผู้ให้เช่ามีหน้าที่ต้องซ่อมแซมทรัพย์ที่เช่าให้มีสภาพที่ใช้การได้ดีก่อนส่งมอบให้กับผู้เช่า
แต่ถ้าเป็นกรณีทรัพย์สินที่ยืมนั้นมีความชำรุดบกพร่องในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลที่ใช้สอยทรัพย์สินนั้น และหากผู้ให้ยืมจะได้รู้ถึงความชำรุดบกพร่องนี้แต่ไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ยืมทราบ ถ้าหากเกิดความเสียหายแก่ผู้ยืมหรือบุคคลภายนอกผู้ใช้ทรัพย์นั้น ในทางสัญญาผู้ให้ยืมไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีการบัญญัติความรับผิดของผู้ให้ยืมในเรื่องนี้ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไว้แต่อย่างใด แต่ในทางละเมิดหากผู้ให้ยืมทราบถึงความชำรุดบกพร่องของทรัพย์ที่ยืมว่าอาจเกิดอันตรายขึ้นได้แล้วไม่แจ้งให้ผู้ยืมทราบ ผู้ให้ยืมก็ยังคงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่
ตัวอย่าง ขอยืมปืนไปใช้ยิงนก ลำกล้องปืนร้าว แต่ผู้ให้ยืมไม่บอกเรื่องดังกล่าวให้ผู้ยืมทราบ ผู้ยืมได้ใช้ปืนดังกล่าวยิงและลำกล้องปืนแตกทำให้ผู้ยืมได้รับบาดเจ็บ ผู้ให้ยืมจะต้องรับผิดชอบ1
สำหรับกรณีที่ผู้ยืมรับทรัพย์ที่ยืมมาในสภาพที่ดีแล้ว แต่ต่อมาทรัพย์นั้นไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ดังนี้ผู้ยืมจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อบุคคลอื่น ทั้งนี้เพราะผู้ยืมเป็นผู้ครอบครองดูแลทรัพย์ที่ยืม ตามหลักเกณฑ์ในเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1.2.3 ผู้ให้ยืมไม่ต้องรับผิดชอบในการรอนสิทธิในทรัพย์ที่ยืม เป็นกรณีที่ผู้ให้ยืมไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้ยืม และต่อมาเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงได้มีการติดตามเอาทรัพย์นั้นคืนไป (ตาม มาตรา 1336) ในขณะที่ผู้ยืมยังใช้สอยทรัพย์นั้นยังไม่เสร็จ ดังนี้ผู้ให้ยืมก็ไม่จำต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่ผู้ยืมไม่สามารถใช้ทรัพย์นั้นได้อีกต่อไป เว้นแต่จะมีการตกลงให้ผู้ให้ยืมต้องรับผิดในความเสียหายนั้น
ตัวอย่าง ดำให้แดงยืมรถยนต์ไปใช้ 1 คัน แต่แดงกลับเอารถยนต์คันนั้นไปให้ขาวยืมไปใช้ในการเดินทางไปทำธุระที่จังหวัดจันทบุรี โดยไม่บอกให้ดำซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันนั้นทราบ ต่อมาปรากฏว่าดำมาทราบในภายหลัง จึงได้ติดตามเอารถยนต์คันดังกล่าวคืนจากขาว ดังนี้ขาวก็ต้องคืนรถยนต์คันนั้นให้แก่ดำไป โดยที่ขาวไม่มีสิทธิเรียกร้องให้แดงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่ตนเองไม่ได้ใช้รถนั้นได้แต่อย่างใด
1.3 ต้องไม่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เป็นวัตถุของสัญญา ทั้งนี้เพราะจะต้องนำทรัพย์อันเดิมนั้นมาคืนให้แก่ผู้ให้ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเสร็จแล้ว จะนำทรัพย์สินอื่นมาคืนไม่ได้ ดังนี้ย่อมแสดงว่าตลอดระยะเวลาที่ยืมนั้นกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์นั้นยังคงอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์ มิได้โอนไปอยู่กับผู้ยืมตามตัวทรัพย์แต่อย่างใด ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 640 ตอนท้ายที่ว่า
“และผู้ยืมตกลงจะคืนทรัพย์สินนั้น เมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”
จากการที่สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่ไม่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืม ดังนั้น จึงมีผลทำให้
1.3.1 ผู้ให้ยืมไม่จำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ให้ยืมแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ผู้ให้ยืมก็ยังมีสิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ได้ เพราะถือว่าผู้ให้ยืมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทรัพย์สินนั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 1407/2538)
ตัวอย่าง น้ำฝนเช่าหนังสือของน้ำค้างมาอ่าน 1 เล่ม หากน้ำฝนเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้น้ำหวานยืมต่อ ดังนี้ถือว่าสัญญายืมใช้คงรูประหว่างน้ำฝนและน้ำหวานนั้นสมบูรณ์ทุกประการ โดยน้ำหวานมีหน้าที่ที่จะต้องส่งคืนหนังสือเล่มดังกล่าวคืนแก่น้ำฝน และหากต่อมาเมื่อถึงกำหนดส่งคืนน้ำหวานจะปฏิเสธไม่ยอมคืนโดยอ้างว่าน้ำฝนไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ ถ้าน้ำหวานไม่ส่งคืนให้ น้ำฝนก็มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกให้น้ำหวานส่งคืนหนังสือให้ตนตามสัญญาได้ แม้ว่าน้ำฝนจะไม่ใช่เจ้าของหนังสือเล่มนั้นก็ตาม
คำพิพากษาฎีกาที่ 1407/2538 เครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทไม่ใช่ทรัพย์ของโจทก์ แต่เป็นทรัพย์ของผู้อื่นที่โจทก์ขอยืมมาแล้วให้นายทองเจือลูกจ้างของโจทก์ยืมไปอีกต่อหนึ่ง ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในทรัพย์พิพาทรายนี้ เมื่อทรัพย์นี้ไปตกอยู่กับจำเลยโดยไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ โจทก์ในฐานะผู้มีสิทธิครอบครองย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือเอาไว้ได้
1.3.2 ผู้ให้ยืมยังคงต้องรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์ที่ยืมอยู่ ทั้งนี้เพราะในขณะที่ผู้ยืมครอบครองทรัพย์สินที่ยืมอยู่ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นก็ยังคงเป็นของผู้ให้ยืมซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์อยู่ ผู้ยืมมีสิทธิเพียงได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเท่านั้น ซึ่งหากเกิดความสูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพย์ในช่วงระหว่างที่มีการยืมทรัพย์ไปนั้นโดยไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ยืม ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ หรือเหตุสุดวิสัย ก็ตามผลคือบาปเคราะห์ต่าง ๆ ย่อมตกเป็นพับแก่ผู้ให้ยืมซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่ง
ตัวอย่าง ม่วงให้ฟ้ายืมรถยนต์ไปคันหนึ่งเพื่อจะใช้ขับไปเที่ยวที่จังหวัดระยอง ในระหว่างทางที่ใช้รถยนต์คันดังกล่าว ฟ้าก็ขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวังอย่างปกติ แต่ปรากฏว่าได้เกิดฝนตกฟ้าคะนองและฟ้าได้ผ่าลงมาที่รถยนต์คันดังกล่าวได้รับความเสียหายทั้งคัน ดังนี้ฟ้าไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถยนต์คันนี้แต่อย่างใด
1.4 สัญญาจะบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์ กล่าวคือ เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์อันเป็นวัตถุของสัญญา สัญญายืมใช้คงรูปก็จะครบถ้วนบริบูรณ์และมีผลทำให้คู่สัญญามีสิทธิและหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในสัญญาและกฎหมายทุกประการ โดยไม่จำเป็นต้องทำหลักฐานการยืม หรือสัญญายืมเป็นหนังสือแต่อย่างใด ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 641 ที่ว่า
“ การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”
ส่วนกรณีที่ยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม สัญญานั้นไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เพียงแต่ยังไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งจะมีผลทำให้คู่สัญญายังไม่เกิดสิทธิหน้าที่ตามสัญญายืมเท่านั้น
การส่งมอบทรัพย์ที่ยืมไม่ใช่หนี้หรือหน้าที่ของผู้ให้ยืม แต่เป็นเพียงการกระทำของผู้ให้ยืม เพื่อให้เกิดความบริบูรณ์ในการทำสัญญาเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากสัญญาอื่น ๆ ที่ความสมบูรณ์แห่งสัญญาอาจเกิดจากการแสดงเจตนาเสนอสนองที่ตรงกัน หรืออาจต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด ตามมาตรา 152 หรืออาจต้องทำเป็นหนังสือ สัญญาเหล่านั้นจึงจะสมบูรณ์บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย และนอกจากนั้นในเรื่องการให้ยืมทรัพย์สินนั้นหากมีการตกลงให้ยืมทรัพย์กันแล้ว ต่อมาผู้ให้ยืมเกิดเปลี่ยนใจไม่ให้ยืมโดยไม่ยอมส่งมอบทรัพย์ให้แก่ผู้ยืม ผู้ยืมก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้มีการส่งมอบทรัพย์ที่ยืม หรือเรียกค่าเสียหายจากผู้ให้ยืมได้เลย ทั้งนี้เพราะสัญญายืมยังไม่บริบูรณ์เนื่องจากยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์ที่ยืมนั่นเอง
ตัวอย่าง ดำตกลงให้ขาวยืมสร้อยคอทองคำของตนหนัก 5 บาท 1 เส้น โดยบอกว่าให้ขาวมารับสร้อยคอเส้นดังกล่าว ในอีก 1 สัปดาห์ พอครบกำหนดขาวก็มารับสร้อยคอตามที่ตกลงกัน แต่ดำเกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมส่งมอบสร้อยคอทองคำเส้นดังกล่าวให้ขาว ดังนี้แม้ขาวจะไม่ได้รับมอบสร้อยคอทองคำเส้นดังกล่าวจากดำตามที่ตกลงกัน ขาวก็ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้ดำส่งมอบสร้อยให้กับตนได้ หรือจะฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ตนไม่ได้ใช้สร้อยคอทองคำเส้นนั้นได้แต่อย่างใด และไม่ถือว่าดำผิดสัญญาทั้งนี้เพราะสัญญายืมยังไม่บริบูรณ์เนื่องจากยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์ที่ยืม
สำหรับเรื่องการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมตามสัญญายืมใช้คงรูปนั้น กฎหมายไม่ได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะต้องส่งมอบกันในลักษณะใด กล่าวคือผู้ให้ยืมจะส่งมอบกันโดยวิธีใดก็ได้ที่มีผลทำให้ผู้ยืมได้เข้าครอบครองและได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนั้น ซึ่งการส่งมอบอาจจะมีการส่งมอบกันโดยการยื่นทรัพย์ให้แก่ผู้ยืมโดยตรง เช่นการส่งมอบหนังสือให้แก่ผู้ยืม หรืออาจมีการส่งมอบโดยปริยาย เช่น มอบกุญแจรถยนต์ หรือกุญแจบ้านที่ยืมให้แก่ผู้ยืม เป็นต้น
ตัวอย่าง น้อยให้หน่อยเช่าวีดีโอภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไปดูเป็นเวลา 3 วัน พอครบกำหนดหน่อยจะต้องส่งคืนวิดีโอดังกล่าว แต่หน่อยยังไม่ทันได้ดูวีดีโอภาพยนตร์เรื่องนั้นเลย และหน่อยต้องการดูภาพยนตร์เรื่องนั้นจึงได้แจ้งไปยังน้อยว่าตนต้องการขอยืมดูต่อไปอีก 2 วัน น้อยก็ตกลงตามที่หน่อยต้องการ ดังนี้ถือว่ามีการส่งมอบกันโดยปริยายแล้ว ซึ่งมีผลทำให้สัญญายืมนั้นสมบูรณ์ทันที โดยไม่จำเป็นต้องให้หน่อยคืนวีดีโอให้แก่น้อยก่อน แล้วน้อยค่อยมาส่งมอบให้หน่อยอีกครั้งตามที่มีการตกลงยืมกันแต่อย่างใด และเมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมกันแล้ว สัญญายืมก็เกิดขึ้นทันที่และมีผลบังคับใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานการยืมเป็นหนังสือ หรือต้องทำเป็นหนังสืออีกแต่อย่างใด ไม่เหมือนสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง เช่น สัญญากู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ที่มาตรา 653 กำหนดให้ต้องมีหลักฐานการกู้ยืมเงินลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมนอกจากจะต้องมีการส่งมอบเงินให้แก่กันแล้ว มิฉะนั้นแล้วจะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้1
2. หน้าที่ ความรับผิดชอบ และสิทธิของผู้ยืมใช้คงรูป
2.1. หน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูป
ในการทำสัญญายืม นอกจากผู้ยืมมีสิทธิที่จะใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนแล้ว ผู้ยืมยังมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
2.1.1 หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการยืมทรัพย์ ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 642 ที่ว่า
“ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาก็ดี ค่าส่งมอบและค่าส่งคืนทรัพย์สินซึ่งยืมก็ดีย่อมตกแก่ผู้ยืมเป็นผู้เสีย”
หน้าที่ประการแรกของผู้ยืมใช้คงรูปคือเสียค่าใช้จ่ายในการทำสัญญาการส่งมอบและการส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม ซึ่งมีดังนี้
ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา คือค่าธรรมเนียมที่จะต้องเสียให้แก่รัฐในการทำสัญญายืม ขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ายืมอะไรที่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม2
ค่าส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อาจเป็นค่าขนย้ายทรัพย์ที่ยืมเพื่อนำไปมอบให้แก่ผู้ยืมในกรณีที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายทรัพย์ที่ยืม ทั้งนี้เนื่องจากผู้ให้ยืมกับผู้ยืมอาจจะอยู่ต่างท้องถิ่นกัน หรืออาจเนื่องมาจากทรัพย์สินที่ยืมนั้นตั้งอยู่ ณ สถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่ทั้งที่อยู่อาศัยของผู้ให้ยืมและผู้ยืม ดังนั้นในส่วนของค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินที่ยืมมาให้แก่ผู้ยืม หากไม่ได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 642
ค่าส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องมีการเคลื่อนย้ายทรัพย์จากผู้ยืมไปส่งมอบให้แก่ผู้ให้ยืม ในกรณีสัญญายืมระงับไม่ว่าจะระงับโดยวิธีใด และถ้าหากไม่ได้มีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นผู้ยืมต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เช่นกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 642
ตัวอย่าง เขียวซึ่งอยู่จังหวัดสงขลา ยืมของจากขาวที่อยู่จังหวัดสระบุรี ดังนี้จะต้องมีการขนส่งของจากจังหวัดสระบุรีไปยังจังหวัดสงขลาเพื่อให้เขียวได้ใช้สอยของนั้น หากไม่มีการตกลงในเรื่องค่าใช้จ่ายในการขนส่งกันไว้ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวก็ให้เขียวผู้ยืมจะต้องเป็นผู้เสีย ส่วนค่าใช้จ่ายในการส่งคืนเขียวก็จะต้องเป็นผู้เสียเช่นกัน
สำหรับค่าส่งคืนดอกผลของทรัพย์สินที่ยืมนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ได้มีการบัญญัติในเรื่องนี้ไว้แต่อย่างใด แต่ในเรื่องนี้มีนักกฎหมาย ( ศาตราจารย์ไผทชิต เอกจริยากร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ) ได้ให้ความเห็นว่าภาระในการเสียค่าใช้จ่ายในการส่งคืนดอกผลของทรัพย์สินที่ยืมน่าจะตกแก่ผู้ให้ยืมทั้งนี้เพราะดอกผลของทรัพย์สินที่ยืมก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ผู้ให้ยืม ตามมาตรา 1336 และนอกจากนั้นผู้ยืมอาจไม่ได้ใช้ประโยชน์ในดอกผลนี้เลยก็ได้
ตัวอย่าง เหลืองให้ส้มยืมสุนัขไปเฝ้าสวนของส้ม 1 ตัว เป็นเวลา 1 ปี ปรากฏว่าในระหว่างที่ยืม สุนัขตัวดังกล่าวได้ออกลูกมา 3 ตัว ดังนี้ถือว่าลูกสุนัขเป็นกรรมสิทธิ์ของเหลือง เพราะถือว่าเป็นดอกผลที่เกิดจากแม่สุนัข ซึ่งส้มจะต้องส่งคืนลูกสุนัขทั้ง 3 ตัวให้แก่ส้มไป โดยให้เหลืองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการส่งคืน
อนึ่ง ในเรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งมอบและส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้น แม้กฎหมายจะบัญญัติให้ผู้ยืมเป็นผู้มีหน้าที่เสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวก็ตาม แต่ถ้าหากคู่สัญญามีการตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น เช่น ตกลงกันว่าให้ผู้ให้ยืมเป็นผู้ออกค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังกล่าวทั้งหมด หรือคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวกันคนละครึ่งก็ได้ดังนี้ก็ให้เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ได้ ไม่ถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด
2.1.2 หน้าที่ใช้ความระวังในการใช้ทรัพย์สินที่ยืม โดยในการใช้ทรัพย์ที่ยืมผู้ยืมจะต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ทรัพย์สินที่ยืม ทั้งนี้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643 ที่ว่า
“ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้ในการอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้นหรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์นั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”
จากบทบัญญัติดังกล่าว หน้าที่ใช้ความระวังในการใช้ทรัพย์สินที่ยืมจึงมี ดังนี้
1) ไม่เอาทรัพย์ที่ยืมนั้นไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์
นั้น กล่าวคือ เป็นการใช้ทรัพย์ที่ยืมนั้นตามสภาพทรัพย์ทั่วไปควรจะต้องใช้ทรัพย์นั้นทำอะไร หากเรายืมทรัพย์นั้นจากผู้อื่นมา เราก็ต้องใช้ทรัพย์นั้นตามสภาพการใช้งานอย่างนั้น
ตัวอย่าง แก้วให้เขียวยืมบ้าน 1 หลัง เมื่อเขียวยืมบ้านมาแล้วก็ต้องเอาบ้านไปให้คนอยู่อาศัย จะนำบ้านไปเปิดทำเป็นบ่อนการพนันไม่ได้
2) ไม่เอาทรัพย์ที่ยืมนั้นไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา คือหากมีการตกลงหรือทำสัญญากันว่าจะนำเอาทรัพย์นั้นเพื่อไปใช้ทำอะไร เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องใช้ทรัพย์นั้นไปตามที่ได้สัญญาหรือได้ตกลงกันไว้ จะนำไปใช้ทำอย่างอื่นที่ไม่ได้สัญญาหรือตกลงกันไว้ไม่ได้
ตัวอย่าง โรจน์ยืมรถของรุจน์ที่กรุงเทพฯ โดยบอกว่าจะไปธุระที่เพชรบุรี ดังนี้เมื่อโรจน์ได้รับมอบรถมาก็ต้องขับรถไปทำธุระที่จังหวัดเพชรบุรีตามที่ตกลงกัน โรจน์จะนำไปใช้ในเส้นทางอื่นซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาไม่ได้
หรือ ป้อมยืมวัวจากปุ้ยมา 1 ตัวบอกว่าจะเอาไปใช้เป็นพ่อพันธุ์ ดังนี้ป้อมก็จะนำวัวตัวนั้นไปใช้ไถนาไม่ได้
3) ไม่เอาทรัพย์ที่ยืมนั้นไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย คือผู้ยืมต้องใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนั้นเอง จะเอาไปให้บุคคลอื่นใช้สอยไม่ได้
ตัวอย่าง เมฆยืมรถยนต์ของฟ้ามาขับไปทำธุระ ดังนี้เมื่อได้รับมอบรถยนต์เมฆก็ต้องเป็นผู้ขับรถยนต์คันนั้นเองหรืออาจให้ผู้อื่นขับรถยนต์นั้นก็ได้แต่บุคคลนั้นจะต้องมีใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถและเมฆจะต้องสามารถควบคุมได้ ดังนี้ก็ยังถือว่าเมฆเป็นคนใช้ทรัพย์นั้นเอง แต่ทั้งนี้เมฆจะเอารถยนต์คันนั้นไปให้ดำซึ่งเป็นบุคคลภายนอกยืมต่อไม่ได้.
ในการใช้สอยทรัพย์ที่ยืมนั้น บางครั้งก็อาจจะต้องดูสภาพของทรัพย์ที่ยืมด้วย กล่าวคือแม้จะให้บุคคลอื่นใช้สอยทรัพย์ที่ยืมนั้นก็ยังอาจถือว่าผู้ยืมใช้สอยทรัพย์นั้นเองได้
ตัวอย่าง แดงให้ดำยืมโต๊ะเก้าอี้สำหรับให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ใช้นั่งเพื่อรับประทานอาหาร จำนวน 50 ชุด ดังนี้แม้จะมีคนอื่นมาใช้โต๊ะเก้าอี้ที่ยืมมานั้นด้วย ก็ยังถือว่าดำผู้ยืมเป็นผู้ใช้โต๊ะเก้าอี้นั้นเอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1892/2535 จำเลยที่ 1 ยืมรถยนต์ของโจทก์เมื่อเวลาประมาณ 10 นาฬิกา โดยจะส่งคืนในวันรุ่งขึ้นและรับว่าจะไม่ให้คนอื่นยืมต่อ จนเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปรับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีอายุ 19 ปีเป็นบุตรผู้เยาว์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไปเที่ยวโดยมีเพื่อนหญิงชายอีกหลายคนไปด้วย พากันไปรับประทานอาหารและดื่มสุราจนถึงเวลา 2 นาฬิกาของวันใหม่ จึงพากันไปนอนที่โรงแรมจนเวลา 4 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมพาเพื่อนหญิงกลับบ้าน ในระหว่างทางรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับได้พลิกคว่ำเสียหาย โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฐานละเมิด ที่จำเลยที่ 2 ขับรถของโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์คว่ำเสียหาย และจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะบิดามารดามิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ แม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ตามสัญญายืมมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญายืมแล้วก็ตาม ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฐานละเมิดด้วย
4) ไม่เอาทรัพย์นั้นไปเก็บไว้นานเกินควร หมายความว่า เมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดตามที่ตกลงกันไว้ หรือเมื่อเวลาล่วงไปพอสมควรแก่การใช้สอยทรัพย์สินนั้นแล้ว ผู้ยืมจะต้องรีบคืนทรัพย์สินที่ยืมให้แก่ผู้ให้ยืม
ตัวอย่าง วิทย์ขอยืมรถวัฒน์มาใช้มีกำหนด 10 วัน เมื่อครบกำหนด 10 วัน ก็ต้องรีบคืนแม้วิทย์จะยังไม่ได้ใช้รถนั้นเลยก็ต้องคืนรถแก่วัฒน์ไป ถ้าไม่คืนก็ถือว่าผิดหน้าที่ของผู้ยืม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาครา 643
หากผู้ยืมทำผิดหน้าที่ตามข้อ 1 ) - 4 ) แล้วทรัพย์สินที่ยืมนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปแม้จะเกิดจากเหตุสุดวิสัย เช่น เกิดโรคระบาด ฟ้าผ่า น้ำท่วม ภัยสงคราม แผ่นดินไหว้ ไฟไหม้ เป็นต้น ผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายนั้นด้วย ซึ่งเหตุที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ยืมต้องรับผิดเช่นนี้ก็เพราะว่าถ้าผู้ยืมใช้สอยทรัพย์ที่ยืมให้ถูกต้อง ไม่ฝ่าฝืนหน้าที่มาตรา 643 โดยไม่เอาไปให้บุคคลอื่นใช้ ไม่เอาไปไว้นานเกินควร ไม่ใช้ผิดสัญญา ไม่ใช้ทรัพย์นอกจาการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์นั้นแล้ว ทรัพย์สินที่ยืมก็จะไม่สูญหาย หรือเสียหายแต่ อย่างใด แต่ในทางกลับกันหากผู้ยืมไม่ได้ผิดหน้าที่ตามข้อ 1 ) - 4 ) แต่ทรัพย์สินนั้นเกิดสูญหายหรือบุบสลายไปเอง โดยไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ยืม ดังนี้ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด
ตัวอย่าง 1 ดำให้นิลยืมรถยนต์ 1 คัน เพื่อใช้ในงานบวชนาคลูกชายของนิลที่ต่างจังหวัด ในระหว่างที่ นิลให้รถยนต์คันนี้ตามปกติ และตามสัญญา แต่ปรากฏว่าในขณะที่นิลจอดรถเพื่อแวะซื้อเครื่องใช้ในงานบวชนาคที่ร้านค้า มีรถยนต์คันอื่นมาชนรถยนต์คันที่ยืมมาได้รับความเสียหายโดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ขับรถมาเฉี่ยวชน ดังนี้ดำจะเรียกร้องให้นิลรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตนไม่ได้ ทั้งนี้เพราะดำไม่ได้ผิดหน้าที่ของผู้ยืมตาม ม. 643 แต่อย่างใด
ตัวอย่าง 2 เทาให้นวลยืมหนังสือนิยายมาอ่านที่บ้านมีกำหนด 7 วัน แล้วมีเหตุการณ์ดังนี้เกิดขึ้นคือ
ก) นวลอ่านไปได้ 2 วัน เกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่ข้างบ้านของนวลแล้วไฟนั้นได้ไหม้บ้านนวลทำให้หนังสือที่ยืมมาถูกไฟไหม้ด้วย ดังนี้นวลไม่ต้องรับผิด
ข) นวลเอาหนังสือที่ยืมไว้ที่บ้านจนถึง 10 วัน แล้วเกิดเหตุการณ์ตามข้อ ก) ดังนี้นวลจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดกับหนังสือที่ยืมมา
ในกรณีนี้เว้นแต่นวลจะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้น (หนังสือ) ก็คงต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง เช่น พิสูจน์ได้ว่าบ้านที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจร บ้านของนวลผู้ยืม และบ้านเทาผู้ให้ยืมเป็นห้องเช่าอยู่ติดกันแล้วเกิดไฟไหม้หมดทั้ง 3 ห้อง หากพิสูจน์ได้ดังนี้นวลก็ไม่ต้องรับผิดทั้งนี้เพราะแม้ผู้ยืมจะได้คืนหนังสือไปภายในกำหนดแล้วก็ตาม หนังสือก็ยังต้องสูญหายหรือบุบสลาย (ถูกไฟไหม้) อยู่นั่นเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3451/2524 โจทก์ในคดีนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของรถที่ถูกชน เพราะโจทก์เป็นแต่เพียงผู้ยืมเท่านั้น ในการยืมใช้คงรูปนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643 ได้บัญญัติให้ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมเฉพาะแต่ในกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์ที่ยืมไปใช้การอย่างอื่น นอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏเหตุดังกล่าวเลย และการที่รถที่โจทก์ขับได้รับความเสียหาย ก็มิใช่เป็นเพราะความผิดของโจทก์ หากแต่เป็นความผิดของบุคคลภายนอก ฉะนั้นโจทก์ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของทรัพย์ และแม้ว่าโจทก์จะได้ซ่อมรถคันที่โจทก์ยืมมาไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม โจทก์ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของเจ้าของรถที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2529 โจทก์ติดต่อซื้อรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุเพื่อใช้ในราชการ โดยโจทก์ได้รับรถยนต์จากผู้ขายมาใช้ก่อน ในวันเกิดเหตุจำเลยยืมรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ไปใช้ และเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญายืมใช้คงรูป เมื่อรถยนต์คันที่จำเลยยืมไปใช้เกิดความเสียหาย แม้โจทก์จะได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์ให้แก่ผู้ซ่อมหรือเจ้าของรถยนต์นั้นแล้วหรือไม่ก็ตาม ถือได้แล้วว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิตามสัญญายืมใช้คงรูปเกิดขึ้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง คำฟ้องของโจทก์กล่าวว่าจำเลยยืมรถยนต์คันเกิดเหตุไปจากโจทก์ต่อมาเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของบุคคลอื่น รถยนต์คันดังกล่าวเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างที่โจทก์ดูแลและทดลองใช้อยู่ โจทก์ชำระเงินค่าซ่อมให้เจ้าของรถแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้เงินคืนแก่โจทก์ ตามคำฟ้องดังกล่าวไม่ปรากฏเหตุใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643 ที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
2.1.3 หน้าที่ในการสงวนทรัพย์สินที่ยืม ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 644 ที่ว่า
“ ผู้ยืมจะต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง ”
จากบทบัญญัติดังกล่าวนี้หมายความว่า ผู้ยืมมีหน้าที่ที่จะต้องสงวนทรัพย์สินที่ยืมมาเสมือนคนทั่ว ๆ ไปเขาสงวนรักษาทรัพย์สินของตนเอง เช่น ยืมวัวเขามาใช้งาน 1 ตัว ตลอดระยะเวลาที่ยืมคนทั่ว ๆ ไปเขาก็ต้องคอยดูแล ให้กินอาหารและน้ำ ไม่ใช้งานหนักเกินไป เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษา แต่ถ้าหากผู้ยืมเป็นคนมักง่ายกล่าวคือ วัวที่ยืมมานั้นเจ็บป่วยก็ไม่ยอมรักษาคิดว่าเจ็บป่วยไม่มากอาจหายเองได้ ดังนี้หากวัวนั้นตายไปผู้นั้นจะปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าตนเองเคยปฏิบัติต่อวัวของตนเองเช่นนี้เหมือนกันไม่ได้ ทั้งนี้เพราะกฎหมายกำหนดให้ผู้ยืมจะต้องปฏิบัติต่อทรัพย์ที่ยืมมาในระดับเทียบเท่าวิญญูชนพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง ไม่ใช่เทียบเท่าเพียงแค่ระดับของผู้ยืมที่จะพึงสงวนรักษาทรัพย์สินของตนเองแต่อย่างใด ในเรื่องการรักษาทรัพย์ระดับวิญญูชนพึงสงวนรักษาทรัพย์สินของตนเองนั้น มีคำพิพากษาฎีกาในเรื่องเช่าทรัพย์ซึ่งพอเทียบเคียงได้ คือ
คำพิพากษาฎีกาที่ 603/2490 จำเลยเช่าเรือไปใช้ ในคืนฝนตกจำเลยผูกเรือไว้แล้วขึ้นไปนอนบนแพ เรือถูกคนร้ายลักไป ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอจึงต้องรับผิด
2.1.4 หน้าที่คืนทรัพย์สินที่ยืม ในเรื่องนี้ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 640 และมาตรา 646 ที่ว่า
มาตรา 640 “ผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”
มาตรา 646 “ถ้ามิได้กำหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืม เมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้ เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว
ถ้าเวลาก็มิได้กำหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไรก็ได้”
จากบทบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ว่าผู้ยืมมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยืม ดังต่อไปนี้
1) ผู้ยืมต้องคืนทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ให้ยืมเมื่อใช้ทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว กล่าวคือ เมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องนำทรัพย์อันเดิมที่ยืมกลับมาคืนให้แก่ผู้ให้ยืม โดยจะนำทรัพย์สินอย่างอื่นมาคืนแทนไม่ได้ดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น
2) ต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมภายในกำหนดเวลา ดังนี้
2.1) กรณีมีกำหนดระยะเวลาคืน ต้องคืนทรัพย์เมื่อครบกำหนดระยังเวลาดังกล่าว
ตัวอย่าง แก่นให้แก้วยืมรถยนต์ไปใช้ มีกำหนด 15 วัน ดังนี้พอครบกำหนด 15 วัน แก้วก็ต้องคืนรถให้แก่แก่นเจ้าของไป
2.2) กรณีไม่มีการกำหนดระยะเวลาคืน ต้องคืนเมื่อได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว
ตัวอย่าง สดยืมกระบือจากใสมาใช้ไถนาในฤดูการทำนา หากสดผู้ยืมไถนาเสร็จก่อนพ้นกำหนดฤดูการทำนา สดก็ต้องรีบส่งคืนกระบือนั้นให้แก่ใสไป แต่ตรงข้ามหากเลยฤดูการทำนาแล้ว สดยังไม่ได้ใช้กระบือนั้นไถนาเลย ดังนี้ใสผู้ให้ยืมก็มีสิทธิเรียกกระบือคืนได้ ทั้งนี้เพราะถือว่าเวลาได้ล่วงไปพอแก่การใช้ทรัพย์นั้นแล้ว
2.3) กรณีที่ไม่มีการกำหนดว่าจะคืนเมื่อใดและไม่ปรากฏในสัญญาว่าจะยืมไปใช้เพื่อการใด ดังนี้ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนทรัพย์นั้นเมื่อใดก็ได้ คือสามารถเรียกคืนได้ทันทีเมื่อมีความประสงค์จะเรียกทรัพย์คืน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 646 วรรคสอง
ตัวอย่าง น้ำเงินให้เหลืองยืมสร้อยคอทองคำและเข็มขัดนากไปใช้อย่างละ 1 เส้น โดยไม่มีกำหนดเวลาส่งคืน และก็ไม่ทราบว่าเหลืองจะนำทรัพย์เหล่านั้นไปใช้เพื่อการใด ดังนี้หากน้ำเงินผู้ให้ยืมต้องการทรัพย์เหล่านั้นคืนน้ำเงินก็สามารถเรียกคืนเมื่อใดก็ได้ และไม่จำเป็นต้องให้เหลืองได้ใช้สอยทรัพย์นั้นก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องจากเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดเวลาคืน ไม่ทราบวัตถุประสงค์ในการยืม และที่สำคัญเหลืองผู้ยืมก็มีทรัพย์สินที่ยืมอยู่ในความครอบครองของตนอยู่แล้ว
ส่วนสถานที่ที่จะส่งคืนทรัพย์ที่ยืมก็ต้องคืน ณ สถานที่ที่กำหนดไว้ในสัญญา เช่น ตกลงกันให้ผู้ยืมส่งคืนทรัพย์สินที่ยืมไว้แก่ผู้ใด สถานที่ใด ดังนี้ก็ให้เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ หรืออาจมีการตกลงกันว่าให้ผู้ให้ยืมไปนำทรัพย์สินที่ยืมนั้นกลับคืนจากผู้ยืมเองก็ได้ แล้วแต่จะตกลงกัน แต่ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ก็ต้องคืน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อหนี้ เพราะถือว่าทรัพย์ตามสัญญายืมใช้คงรูปเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324 ที่ว่า
“เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชำระหนี้ ณ สถานที่ใดไซร้ หากจะต้องส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ท่านว่าต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อนให้เกิดหนี้นั้น ส่วนการชำระหนี้โดยประการอื่น ท่านว่าต้องชำระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้”
ตัวอย่าง มรกตมาขอยืมรถยนต์จากบ้านของทับทิมที่อยู่จังหวัดนราธิวาส เพื่อไปใช้ขับที่บ้านของมรกตที่อยู่ที่กรุงเทพฯ โดยไม่มีข้อตกลงกันไว้ในเรื่องการส่งคืนรถยนต์ ดังนี้หากต่อมาสัญญายืมระงับลงไม่ว่าด้วยเหตุใด มรกตก็ต้องนำรถยนต์คันดังกล่าวไปส่งคืนที่บ้านของทับทิมที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้นั้น
2.1.5 หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สิน ซึ่งยืม ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 647 ที่ว่า
“ค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย”
จากบทบัญญัติตามมาตรานี้เป็นค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปเนื่องจากการบำรุงรักษา
ปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าไม่มีการตกลงกันไว้ว่าให้ผู้ให้ยืมเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ผู้ยืมก็จะต้องเป็นผู้เสีย เช่น หากยืมสัตว์พาหนะมาใช้งาน ผู้ยืมก็ต้องมีหน้าที่เสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำและค่าอาหารสัตว์ หรือหากยืมรถไปใช้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถนั้นให้อยู่ในสภาพดีและใช้การได้ โดยอาจจะต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำกลั่น ถ่ายน้ำมันเครื่อง เติมลมยาง เปลี่ยนหัวเทียน หรืออาจต้องออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเล็กน้อย และเมื่อจ่ายไปแล้วผู้ยืมก็จะเรียกคืนจากผู้ให้ยืมไม่ได้ แต่ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่การบำรุงรักษาปกติแต่เป็นค่าใช้จ่ายพิเศษ กฎหมายในเรื่องยืมไม่ได้มีการบัญญัติไว้ว่าเป็นหน้าที่ของใครที่จะต้องมีหน้าที่เสียค่าใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งต่างกับเรื่องการเช่าเพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 550 ได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะว่าถ้าเป็นการซ่อมแซมใหญ่ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชอบ แต่ในเรื่องยืมนี้จะนำหลักในเรื่องเช่าทรัพย์มาใช้ก็ไม่ได้ เพราะยืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่ไม่มีค่าตอบแทนดังเช่นสัญญาเช่าทรัพย์ ดังนั้นหากเป็นกรณีทรัพย์ที่ยืมเกิดชำรุดจนถึงขนาดใช้การไม่ได้แล้วผู้ยืมก็ควรจะส่งคืนผู้ให้ยืมไปโดยผู้ยืมเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการส่งคืน หากผู้ยืมได้เสียค่าใช้จ่ายพิเศษไปโดยไม่มีการตกลงกับผู้ให้ยืมก่อนว่าจะเรียกคืนจากผู้ให้ยืมแล้ว ดังนี้หากผู้ยืมจ่ายไปแล้วผู้ยืมก็ไม่สามารถเรียกคืนจากผู้ให้ยืมได้แต่อย่างใดเพราะกฎหมายในเรื่องยืมไม่ได้บัญญัติไว้ว่าจะสามารถเรียกคืนจากผู้ให้ยืมได้
ตัวอย่าง สดยืมรถยนต์เก่าของใสมาขับโดยรถยนต์คันนั้นมีสภาพเกาชำรุดทรุดโทรมตัวถังผุมาก โช้คอัพของรถยนต์ก็ชำรุดมากต้องเปลี่ยนใหม่ ซึ่งจะต้องใช้เงินมาก ดังนี้ค่าใช้จ่ายที่เป็นการซ่อมแซมใหญ่ดังกล่าว ไม่ใช่หน้าที่ของสดผู้ยืมแต่อย่างใด ดังนี้หากสดเห็นว่าไม่สามารถใช้การต่อไปได้แล้ว ก็ควรที่จะต้องส่งคืนรถยนต์คันนั้นให้แก่ใสไป ทั้งนี้เป็นเรื่องของใสผู้ให้ยืมที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง และหากสดผู้ยืมได้จ่ายไปโดยพลการโดยไม่มีการตกลงกับใสผู้ให้ยืมก่อนว่าจะเรียกคืนจากใสผู้ให้ยืมแล้ว สดผู้ยืมก็ไม่สามารถเรียกคืนจากใสผู้ให้ยืมได้แต่อย่างใดเพราะกฎหมายในเรื่องยืมไม่ได้บัญญัติไว้ว่าจะสามารถเรียกคืนจากใสผู้ให้ยืมได้
แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องหน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมนั้น คู่สัญญาอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้ เช่นอาจมีการตกลงกันว่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมอันเป็นปกติหรือค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาพิเศษ หรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวกันคนละครึ่งก็ได้ ซึ่งหากมีการตกลงกันเช่นนี้ข้อตกลงนี้ก็มีผลบังคับใช้ได้
2. 2 ความรับผิดของผู้ยืมใช้คงรูป แยกพิจารณาได้ ดังนี้
2.2.1 กรณีทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือบุบสลายไป ความรับผิดของผู้ยืมใช้คงรูปจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทรัพย์สินที่ยืมนั้นเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามบทบัญญัติในมาตรา 643 และ มาตรา 644 ไม่ว่าจะเป็นการเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ หรือไม่สงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเองก็ตาม หากมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้วแม้ความเสียหายนั้นจะเกิดจากเหตุ สุดวิสัย ผลคือผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายนั้นแก่ผู้ให้ยืม
ตัวอย่าง พลอยยืมรถเก๋งจากเพชรมา 1 คัน โดยบอกว่าจะขับไปทำธุระที่อยุธยาแต่พอทำธุระที่อยุธยาเสร็จแทนที่จะเอารถเก๋งไปส่งคืนให้กับเพชร กลับเอารถเก๋งคันนั้นพาครอบครัวไปเที่ยวต่อที่ชลบุรี แต่ในระหว่างพักค้างคืนที่โรงแรมในจังหวัดชลบุรีเกิดไฟไหม้โรงจอดรถของโรงแรมทำให้รถเก๋งคันดังกล่าวถูกไฟไหม้เสียหายหมด ดังนี้ผลก็คือแม้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถเก๋งคันดังกล่าวจะเกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่พลอยก็ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่เพชรด้วย ทั้งเพราะพลอยฝ่าฝืนหน้าที่ผู้ยืม ตามมาตรา 643
เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าถึงจะไม่ได้ผิดหน้าที่ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง
ตัวอย่าง เขียวกับเหลืองอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เขียวให้เหลืองยืมไก่ชนไป 1 ตัวโดยบอกจะนำไปทำเป็นพ่อพันธุ์ แต่กลับให้ดำเพื่อนบ้านยืมต่อโดยดำได้นำไก่ตัวนั้นไปแข่งขันการพนันชนไก่ภายในหมู่บ้านนั้น ต่อมาหมู่บ้านนั้นเกิดโรคไข้หวัดนกระบาดทำให้ไก่ตายหมดทั้งหมู่บ้าน ดังนี้ถึงแม้เหลืองผู้ยืมจะผิดหน้าที่ของผู้ยืมแต่เหลืองก็ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากการตายของไก่ ทั้งนี้เนื่องจากเหลืองสามารถพิสูจน์ได้ว่าถึงเหลืองจะไม่ผิดหน้าที่ ไก่นั้นก็ยังคงต้องตายอยู่นั่นเอง
แต่ในทางกลับกันหากผู้ยืมได้ใช้ทรัพย์สินไปตามปกติไม่ได้ทำผิดหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้ง 2 มาตราดังกล่าวแต่ก็ยังเกิดความเสียหาย และความเสียหายนั้นก็ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ยืมด้วยแล้ว ผลคือผู้ยืมไม่จำต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์ที่ยืมพอสรุปได้ว่า อาจเกิดได้ในหลายกรณี ดังนี้
1) ความเสียหายเกิดขึ้นจากผู้ยืม ที่ผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 653 หรือมาตรา 654 ดังนี้ผู้ยืมต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผู้ให้ยืม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ราคาทรัพย์และค่าเสียหายต่าง ๆ
ตัวอย่าง ส้มให้แสดยืมรถยนต์ไปใช้ในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของแสด แต่แสดได้เอารถยนต์คันนั้นไปให้สดยืมใช้อีกต่อหนึ่ง ในขณะที่สดจอดรถยนต์อยู่ ณ เชิงเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทแห่งหนึ่งและได้ลงไปทำธุระในบริเวณนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวทำให้มีก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงมาทับรถยนต์คันดังกล่าวพังเสียหายหมด ดังนี้แสดผู้ยืมต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อส้มด้วยแม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะเกิดจากเหตุสุดวิสัยก็ตาม ทั้งนี้เพราะว่าถ้าแสดไม่ให้สดยืมรถยนต์ไปใช้ รถยนต์คันนี้ก็จะไม่อยู่ที่เชิงเขาแห่งนั้น และก็จะไม่ถูกก้อนหินหล่นทับเสียหาย
2) ความเสียหายเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยโดยไม่อาจจะโทษผู้ใดได้ ดังนี้ผลคือบาปเคราะห์ต่าง ๆ ย่อมตกเป็นพับแก่ผู้ให้ยืมซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์นั้น
ตัวอย่าง ครามให้ฟ้ายืมสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทไปใช้ 1 เส้น ขณะที่ฟ้าใส่สร้อยคอทองคำเส้นนั้นเดินไปซื้อของที่ตลาด ได้ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้เอาทองเส้นนั้นไปและได้หลบหนีไปโดยที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายไว้ได้ ทำให้ฟ้าไม่สามารถนำทองเส้นนั้นกลับมาส่งคืนให้กับครามได้เลย ดังนี้ครามจะมาเรียกร้องให้ฟ้าชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตนไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะฟ้าไม่ได้ฝ่าฝืนหน้าที่ของผู้ยืมแต่อย่างใด
แต่ในกรณีนี้ผู้ให้ยืมอาจป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตนได้โดยอาจทำความตกลงไว้ล่วงหน้ากับผู้ยืมว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้ยืมหากว่าทรัพย์สินที่ยืมสูญหายหรือบุบสลายไปเพราะเหตุอย่างใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม หากมีการทำข้อตกลงดังกล่าวแล้วก็มีผลให้ข้อตกลงนั้นบังคับใช้ได้ โดยไม่ถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด
3) ความเสียหายเกิดจากบุคคลภายนอก โดยที่ผู้ยืมไม่ได้ผิดหน้าที่ตามมาตรา 653 หรือมาตรา 654 แต่อย่างใด ดังนี้ผู้ยืมไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ให้ยืมแต่อย่างใด ผู้ให้ยืมมีหน้าที่ที่จะต้องไปฟ้องร้องเอากับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้ทำละเมิดเองโดยตรง
คำพิพากษาฎีกาที่ 534/2506 จำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปตามผู้ร้าย ระหว่างขับไปตามถนนตามปกติก็มีรถยนต์โดยสารชนท้ายรถยนต์คันนั้นพลิกคว่ำตกข้างทางทำให้รถชำรุดเสียหายใช้ไม่ได้ จำเลยจึงไม่สามารถส่งคืนรถได้ ดังนี้จำเลยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์ เพราะเกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอก จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความเสียหาย จำเลยใช้รถตามสภาพของการใช้ตามปกติของวิญญูชนแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219
คำพิพากษาฎีกาที่ 7416/2548 การยืมใช้คงรูปนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643 ได้บัญญัติให้ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมเฉพาะแต่ในกรณีผู้ยืมเอาทรัพย์ที่ยืมไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาหรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ เมื่อไม่ปรากฏเหคุดังกล่าว และในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถที่ยืมไปเยี่ยมราษฎรในพื้นที่อันเป็นการใช้ทรัพย์ที่ยืมเป็นปกติตามที่ได้ขออนุญาตโจทก์ ทั้งเหตุรถเฉี่ยวชนกันไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ 1 หากแต่เป็นความผิดของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ในกรณีที่บุคคลภายนอกทำความเสียหายจนทำให้ทรัพย์สินที่ยืมสูญหายไป แต่ถ้าผู้ยืมได้รับทรัพย์สินอื่นมาแทนทรัพย์สินที่ยืมที่สูญหายหรือเสียหายไปจากบุคคลภายนอก ดังนี้ผู้ยืมก็ต้องมีหน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินเหล่านั้นให้แก่ผู้ให้ยืมไปตามหลักช่วงทรัพย์ ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 228 ที่ว่า
“ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้นเป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้”
ตัวอย่าง เข้มให้จืดยืมแจกันหยกไปใช้ 1 คู่ จืดก็ได้นำแจกันหยกคู่นั้นไปไว้ที่บ้านของตน ต่อมาจางไปติดต่อธุระที่บ้านของจืดแต่จางประมาทเลินเล่อเดินด้วยความรีบร้อนมือข้างหนึ่งไปปัดถูกแจกันหยกคู่นั้นหล่นลงมาแตกเสียหายหมด ดังนี้หากจางยอมรับผิดและซื้อแจกันหยกคู่ใหม่ให้จืดไว้ จืดก็ต้องส่งมอบแจกันหยกคู่ใหม่นั้นให้แก่เข้มไปเพราะถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาแทนที่ทรัพย์อันเดิม
2.2.2 กรณีผู้ยืมไม่ยอมส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม ดังนี้ในทางแพ่งผู้ให้ยืมสามารถฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินที่ยืมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1336) และนอกจากนั้นผู้ยืมอาจต้องรับผิดในทางอาญาฐานยักยอกได้หากผู้ยืมมีเจตนาทุจริตที่จะเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
คำพิพากษาฎีกาที่ 1554 - 1555/2512 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยยืมทรัพย์ไป แล้วทุจริตยักยอกเอาไว้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเสีย ย่อมมีความผิดในทางอาญามิใช่เป็นเรื่องยืมทางแพ่งเท่านั้น
2.2.3 ในกรณีทรัพย์ที่ยืมได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอก ผู้ยืมจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามหลักในเรื่องละเมิด เพราะถือว่าผู้ยืมเป็นผู้ครอบครองดูแลทรัพย์นั้น โดยไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสัญญายืมแต่อย่างใด
2.3 สิทธิของผู้ยืมในการฟ้องร้องผู้ทำละเมิด ผู้ยืมจะมีสิทธิฟ้องร้องผู้ทำละเมิดในทรัพย์ที่ยืมมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ยืมได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมไปโดยผิดหน้าที่ แล้วมีบุคคลภายนอกมาละเมิดทำให้ทรัพย์ที่ยืมเสียหาย ดังนี้ หากผู้ยืมได้ชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนให้แก่ผู้ให้ยืมซึ่งเป็นเจ้าของไปแล้ว ผู้ยืมก็มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลภายนอกผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวคืนได้ตามหลักการรับช่วงสิทธิ ทั้งนี้เพราะถือว่าผู้ยืมมีหนี้หรือมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ในฐานะลูกหนี้ที่ผิดหน้าที่ของผู้ยืม ตามมาตรา 643 – 644 แต่หากเป็นกรณีที่ผู้ยืมได้ใช้ทรัพย์สินที่ยืมไปตามปกติโดยตนไม่ผิดหน้าที่ แต่มีบุคคลภายนอกมาละเมิดทำให้ทรัพย์ที่ยืมเสียหาย ดังนี้แม้ผู้ยืมจะเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมทรัพย์นั้นไปแล้วก็ตาม ผู้ยืมก็ไม่สามารถเรียกร้องให้ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวคืนได้แต่อย่างใด เป็นหน้าที่ของผู้ให้ยืมที่จะต้องดำเนินการฟ้องร้องเอากับผู้ทำละเมิดเอง ทั้งนี้เพราะผู้ยืมไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยืมและไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมแต่อย่างใด
คำพิพากษาฎีกาที่ 1180/2519 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์โดยละเมิด แต่ได้ความว่ารถจักรยานยนต์เป็นของน้องโจทก์ โจทก์ยืมมาใช้และเป็นการใช้ตามปกติ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยใช้ค่าซ่อมรถและค่าเสื่อมราคาซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกี่ยวกับตัวรถโดยตรง
คำพิพากษาฎีกาที่ 3451/2524 ในการยืมใช้คงรูปนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643 ได้บัญญัติให้ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมเฉพาะกรณีผู้ยืมเอาทรัพย์ที่ยืมไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาหรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ โจทก์เป็นแต่เพียงผู้ยืมรถคันที่ถูกชนไม่ใช่เจ้าของ ไม่ปรากฏเหตุดังกล่าวที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืม และการที่รถคันที่โจทก์ขับได้รับความเสียหายก็ไม่ใช่เกิดจากความผิดของโจทก์ ฉะนั้นโจทก์ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของรถแต่อย่างใด และแม้ว่าโจทก์จะได้ซ่อมแซมรถคันดังกล่าวไปแล้ว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของเจ้าของรถที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิจะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้คือเจ้าของรถ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 526/2529 โจทก์ติดต่อซื้อรถยนต์จากบุคคลอื่นมาเพื่อใช้ในราชการโดยโจทก์รับรถมาทดลองใช้ก่อน จำเลยยืมรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้แล้วเกิดอุบัติเหตุ รถที่ยืมได้รับความเสียหาย โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญายืมใช้คงรูป ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อรถยนต์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปใช้เกิดความเสียหาย โจทก์จะชำระค่าซ่อมไปแล้วหรือไม่ก็ตามก็ถือว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิตามสัญญายืมใช้คงรูปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีเหตุใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643 ที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทย์ในความเสียหายที่เกิดขึ้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
คำพิพากษาฎีกาที่ 6683/2537 โจทก์ยืมรถยนต์ผู้อื่นมาใช้แล้วถูกจำเลยทำละเมิดขับรถยนต์มาชนท้ายรถคันที่โจทก์ยืมเสียหาย แม้มาตรา 647 จะบัญญัติว่าค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติและการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมนั้น ผู้ยืมต้องเป็นผู้เสีย ก็มีความหมายเพียงว่าผู้ยืมต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติในการบำรุงรักษาทรัพย์สินยืมอันเป็นปกติของการใช้ทรัพย์สินที่ยืมเท่านั้น มิใช่กรณีอันเกิดจากการถูกกระทำละเมิดซึ่งเป็นเหตุอันผิดปกติที่มีมาตรา 420 และ 438 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดไว้แล้ว โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องซ่อมรถยนต์คันที่จำเลยทำให้เสียหาย โจทก์มิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
3. การสิ้นสุดของสัญญายืมใช้คงรูป
สัญญายืมใช้คงรูปสิ้นสุดได้หลายกรณี ดังนี้
3.1 สิ้นสุดโดยเหตุผู้ยืมตาย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่มุ่งคำนึงถึงคุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้ยืมเท่านั้น ดังนั้นเมื่อผู้ยืมตายสัญญายืมก็ระงับไปทันทีโดยทายาทของผู้ยืมไม่มีสิทธิได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนั้นอีกต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 648 ที่ว่า
“ อันการยืมใช้คงรูปย่อมระงับสิ้นไปด้วยมรณะแห่งผู้ยืม”
ตัวอย่าง เหลืองให้เขียวยืมเรือไปใช้ 1 ลำ เป็นเวลา 3 ปี แต่พอยืมไปได้เพียงแค่ 6 เดือน เขียวถึงแก่ความตาย ดังนี้ทายาทของเขียวก็ต้องคืนเรือลำดังกล่าวให้แก่เหลืองไปทันที โดยทายาทของเขียวจะไม่ยอมส่งคืนโดยอ้างว่าสัญญายืมยังไม่ครบกำหนด 3 ปีไม่ได้
แต่ทั้งนี้สัญญายืมจะระงับไปเฉพาะความตายของผู้ยืมเท่านั้น กล่าวคือหากผู้ให้ยืมตายสัญญายืมหาได้ระงับไปด้วยแต่อย่างใดโดยทายาทของผู้ยืมยังคงมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินนั้นอยู่ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสัญญา
ตัวอย่าง น้ำตาลให้สีเทายืมชุดรับแขกทำด้วยไม้สักไปใช้ 1 ชุด โดยตกลงว่าให้ สีเทายืมใช้ได้ 5 ปี แต่ยืมไปได้เพียง 3 เดือนปรากฏว่าน้ำตาลผู้ให้ยืมถึงแก่ความตายดังนี้ ทายาทของน้ำตาลจะเรียกให้สีเทาคืนชุดรับแขกให้แก่ตนเองทันทีไม่ได้ จะต้องให้สีเทาได้ใช้ชุดรับแขกดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด 5 ปีตามสัญญาก่อนจึงจะเรียกคืนได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 338/2479 จำเลยยืมเรือของนาย ก. ไปใช้โดยมีข้อตกลงว่ายืมกันตลอดอายุของจำเลยผู้ยืมเมื่อผู้ให้ยืมตายผู้รับมรดกยังไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์ที่ให้ยืมคืน
3.2 สิ้นสุดโดยเหตุที่ผู้ยืมส่งคืนทรัพย์สินที่ยืม การคืนทรัพย์สินของผู้ยืมนั้นอาจเป็นการ คืนเมื่อครบกำหนด คืนเมื่อใช้เสร็จ คืนก่อนครบกำหนด หรือส่งคืนเพราะผู้ให้ยืมเรียกคืนทรัพย์ที่ยืม ไม่ว่าจะส่งคืนเพราะเหตุใด ก็มีผลทำให้สัญญายืมนั้นระงับไปได้ทั้งสิ้น
3.3 สิ้นสุดโดยเหตุที่ทรัพย์อันเป็นวัตถุของสัญญาสูญหายหรือบุบสลายไปจนหมดสิ้น หากตัวทรัพย์อันเป็นวัตถุในการชำระหนี้ได้สูญหายหรือบุบสลายไป ไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของผู้ใดหรือเนื่องจากเหตุใดก็มีผลทำให้สัญญายืมนั้นระงับสิ้นไปโดยปริยายด้วย แต่ในเรื่องการสูญหายหรือบุบสลายไปของวัตถุที่ใช้ในการชำระหนี้นั้นหากปรากฏว่าเป็นความผิดของผู้ยืม ผู้ยืมก็ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น แต่ถ้าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นโดยไม่อาจจะโทษผู้ใดได้และผู้ยืมไม่ได้ผิดหน้าที่ตามมาตรา 643 – 644 แล้ว ดังนี้ย่อมตกเป็นพับแก่เจ้าของทรัพย์นั้นไป
ตัวอย่าง มืดให้หมอกยืมหนังสือไป 1 เล่ม ต่อมาในระหว่างที่ยืมเกิดไฟฟ้าลัดวงจรทำให้บ้านของหมอกถูกไฟไหม้เสียหายหมดทั้งหลังรวมทั้งหนังสือที่ยืมมืดไปก็ถูกไฟไหม้หมดเช่นกัน ดังนี้ถือว่าทรัพย์นั้นสูญหายหมดไปแล้ว จึงทำให้สัญญายืมระงับไป
3.4 สิ้นสุดโดยเหตุมีการบอกเลิกสัญญา หากผู้ยืมผิดหน้าที่ตามมาตรา 643 หรือ มาตรา 644 ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ซึ่งการบอกเลิกสัญญายืมนี้ผู้ให้ยืมสามารถบอกเลิกได้ทันทีที่ทราบว่าผู้ยืมผิดหน้าที่แม้จะยังไม่เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ยืมก็ตาม และเมื่อบอกเลิกแล้วผู้ให้ยืมก็มีสิทธิเรียกทรัพย์สินที่ยืมคืนได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 645 ที่ว่า
”ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ “
ซึ่งการปฏิบัติในการบอกเลิกสัญญา และผลของการบอกเลิกสัญญาตามมาตรานี้ จะต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ใน บรรพ 1 และ บรรพ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4. อายุความ
อายุความการใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญายืมใช้คงรูปนั้นมีกำหนดระยะเวลา ดังนี้
4.1 อายุความเรียกค่าทดแทน กรณีผู้ยืมผิดสัญญาที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643, มาตรา 644 และมาตรา 647 แล้วทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์ที่ยืม ดังนี้ผู้ให้ยืมมีสิทธิฟ้องร้องค่าเสียหายดังกล่าวได้ ภายในอายุความ 6 เดือน ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 649 ดังนี้
“ในข้อความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา”
การทำผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 643, มาตรา 644 และ ม. 647 ได้แก่ ใช้สอยทรัพย์สินไม่ถูกต้อง หรือไม่สงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม หรือไม่เสียค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม แล้วทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ยืม เช่น ค่าเสียหายเกี่ยวกับการชำรุดหรือเสื่อมราคาเนื่องจากการใช้สอยทรัพย์ที่ยืม ดังนี้คู่สัญญาจะฟ้องร้องเรียกค่าทดแทนหรือค่าเสียหายได้ ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญายืมนั้น
อนึ่ง อายุความ 6 เดือน ใช้ได้ทั้งกรณีผู้ยืมและผู้ให้ยืมที่เป็นโจทก์ ซึ่งต่างกับสัญญาเช่าทรัพย์ตามมาตรา 563 ที่มีอายุความ 6 เดือนเหมือนกัน แต่อายุความดังกล่าวใช้ได้แต่เฉพาะผู้ให้เช่าเท่านั้น
4.2 อายุความเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิด อายุความในการฟ้องร้องก็ต้องเป็นไปตามหลักในเรื่องละเมิด คือ ต้องฟ้องร้องภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการทำละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือภายใน 10 ปีนับแต่วันทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
4.3 อายุความเรียกคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์สินที่ยืม อายุความในเรื่องนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 หรือมาตรา 164 เดิม คือ มีอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาฎีกาที่ 785/2476 จำเลยยืมทองคำหนัก 25 บาทของโจทก์ไปจำนำโดยสัญญาว่าอย่างช้าปีเดียวจะไถ่คืนให้ ครบกำหนดโจทก์ไปขอคืน จำเลยขอผัด ต่อมาจำเลยผ่อนใช้ราคาทองคำให้โจทก์ 2 ครั้ง โดยจำเลยว่าผู้รับจำนำเอาทองคำเป็นสิทธิเพราะเกินกำหนดไถ่ ดังนี้จะยกมาตรา 649 มาปรับคดีไม่ได้โดยเป็นบทบังคับสำหรับการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในเมื่อของที่ยืมชำรุดเสียหาย ไม่ใช่สำหรับการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนและการผ่อนใช้ราคาทองเป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
คำพิพากษาฎีกาที่ 2589/2526 อายุความตามมาตรา 649 เป็นกรณีฟ้องให้รับผิดเพื่อค่าเสียหายค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูป เช่น ค่าเสียหายกันเกี่ยวกับการชำรุดหรือเสื่อมราคาเนื่องจากการใช้สอยทรัพย์สินที่ยืม ในกรณีฟ้องรียกคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ยืมไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ จึงต้องปรับด้วยมาตรา 164 เดิม คือมีอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาฎีกาที่ 566/2536 มาตรา 649 เป็นอายุความในเรื่องความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูป เช่น เรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับความชำรุดหรือเสื่อมราคาจากการใช้ทรัพย์สินที่ให้ยืม แต่ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องเรียกคืนลังไม้หรือราคาลังไม้ซึ่งจำเลยที่ 1 ยืมไปพร้อมผลิตภัณฑ์ขวดแก้วซึ่งโจทก์ขายให้จำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขาย และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติกับโจทก์ตลอดมาตั้งแต่มีการซื้อขายกัน จึงนำมาครา 649 มาบังคับไม่ได้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 (เดิม)
กรณีผู้ให้ยืมที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้ยืมนอกจากจะมีสิทธิฟ้องร้องเรียกทรัพย์สินคืนภายใน 10 ปี แล้วยังมีสิทธิที่จะติดตามเอาทรัพย์สินของตนจากผู้ที่ไม่มีสิทธิยึดถือทรัพย์นั้นได้โดยไม่มีอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ถ้าหากยังไม่มีการครอบครองปรปักษ์ในทรัพย์นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ลบความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ลบความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ลบไม่มีข้อมูลของ ยืมใช้สิ้นเปลือง บ้างหรอค่ะ ?รบกวนหน่อยนะค่ะ :)
ลบได้รับความรู้มากเลยคะ ขอบคุณคะ
ตอบลบเขียนเข้าใจง่าย ขอบคุณค่ะ
ตอบลบอัพความรู้ทางกฏหมายต่อเรื่องๆนะคะ ^^
ตอบลบอ่านแล้วเข้าใจ Thank you kub
ตอบลบอัพเพิ่มอีกเรื่อยๆนะคับ
ตอบลบรบกวนอัพความรู้เรื่อยๆนะครับ :)
ตอบลบขอบคุณครับบ
ตอบลบ